ปรึกษาเรื่องคดี ปรึกษากฎหมายตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยทนายความมืออาชีพ
ปรึกษาเรื่องคดี ปรึกษากฎหมายตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยทนายความมืออาชีพ
เขียนโดย นางสาวนฤมล พรมแดง 17/07/2022
มรดก
คือทรัพย์สินทุกชิ้นของผู้ตาย ครอบคลุมตั้งแต่ทรัทย์สินที่เป็นสิทธิ หน้าที่ไปจนถึงความรับผิดชอบของผู้ตาย
ทรัพย์สินที่มีตอนมีชีวิตอยู่ เมื่อเสียชีวิตทรัพย์สินที่ครอบครองก็จะตกไปเป็นของเจ้าหนี้และทายาทผู้มีสิทธิ์รับมรดกต่อไป การโอนทรัพย์มรดกซึ่งเป็นทรัพย์ปกติ หากทายาทสามารถตกลงกันได้ ความครอบครองทรัพย์นั้นก็จะตกเป็นของ
คนคนนั้นได้ทันที แต่หากทรัพย์นั้นเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นหรือเป็นทรัพย์ที่ต้องทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ อาทิ เงินฝากในบัญชีธนาคาร ที่ดินรถยนต์ บุคคลอื่นที่ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่จดทะเบียนกรรมสิทธิ์
ย่อมไม่สิทธิ์ใช้ดุลยพินิจของตนในการตัดสินใจว่าทายาทผู้นั้นมีสิทธิกระทำการใดแทนกองมรดกหรือไม่ จำเป็นต้องให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกเพื่อให้มีสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบในการจัดการมรดกตามกฏหมาย
การขอศาลตั้งผู้จัดการมรดก
ตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1713 วรรคแรกกล่าวว่า “ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการ
จะร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้” ดังนั้นการขอศาลตั้งผู้จัดการมรดกจำต้องประกอบด้วยผู้ร้องและผู้ที่จะเป็น
ผู้จัดการมรดก ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผู้ร้องมักขอศาลให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกไปเลยทีเดียว ทายาทที่สามารถร้องขอ
ศาลตั้งผู้จัดการมรดกนั้นจะต้องเป็นทายาทที่มีสิทธิ์รับมรดก ทั้งโดยชอบธรรมและโดยพินัยกรรม หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ในกองมรดก เช่น เจ้าของรวมในทรัพย์มรดก, สามีหรือภรรยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยอยู่กินด้วยกันและมีทรัพย์สิน
ที่หามาได้ร่วมกัน หรือเจ้าหนี้ของกองมรดก ซึ่งจะต้องเป็นกรณีที่ไม่สามารถเรียกร้องต่อทายาทของเจ้ามรดกให้ชำระหนี้ได้ จึงจะนับเป็นผู้มีส่วนได้เสีย แต่ถ้าหากสามารถเรียกร้องได้จะไม่ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย, ผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรม
และผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ที่เป็นทายาท
ผู้จัดการมรดก
จะต้องไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตามมาตรา 1718 หมายความว่าจะต้องบรรลุนิติภาวะ ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต หรือเป็นบุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถหรือบุคคลล้มละลาย
ผ่านการพิจารณาว่าเหมาะสมตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1966/2528 ซึ่งกล่าวว่าการตั้งผู้จัดการมรดกนั้น
ศาลย่อมใช้ดุลพินิจถึงความเหมาะสม หรือในพฤติการณ์เพื่อประโยชน์แก่กองมรดกด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ร้อง
ซึ่งเป็นทายาทมีความขัดแย้งกับทายาทอื่นอยู่ ถ้าตั้งผู้ร้องให้เป็นผู้จัดการมรดกอาจก่อ ให้เกิดความเสียหายได้
ถึงแม้ผู้ร้องจะไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตามมาตรา 1718ก็ตาม ศาลไม่จำเป็นต้องตั้งผู้ร้องตามคำร้องทุกกรณี
การขอศาลให้ตั้งบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการมรดก
ในกรณีที่ผู้ร้องไม่สะดวกในการจัดการมรดก เช่น ผู้ร้องเป็นผู้สูงอายุ เจ็บป่วยหรือมีภูมิลำเนาอยู่นอกราชอาณาจักร
ซึ่งทำให้ไม่สะดวกในการเดินทางมาติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์มรดก หรือในกรณีที่ต้องการบุคคลอื่นที่มีความรู้
ความเชี่ยวชาญในการจัดการมรดกมาจัดการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของเจ้าของมรดก ก็สามารถจัดตั้งบุคคลอื่นเป็น
ผู้จัดการมรดกได้ ซึ่งการร้องศาลเพื่อขอให้ตั้งบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการมรดกก็คล้ายกับกรณีทั่วไป เพียงแค่ต้องปรับถ้อยคำ
ในหนังสือยินยอมของทายาทที่ยินยอมให้ผู้ร้องดำเนินการร้องต่อศาล เพื่อระบุให้บุคคลใดเป็นผู้จัดการมรดกและบุคคลนั้น
ก็ยินยอมที่จะรับหน้าที่เป็นผู้จัดการมรดก
ในกระบวนการไต่สวนคำร้อง นอกจากผู้ร้องเข้าเบิกความแล้วผู้รับเป็นผู้จัดการมรดกก็อาจจำเป็นต้องเข้าเบิกความต่อศาล
เพื่อรับหน้าที่เช่นกัน กระบวนการอื่นๆ อาทิ ทายาทคนอื่นร้องคัดค้าน หรือร้องถอดถอนผู้จัดการมรดกก็สามารถทำได้ปกติ
เมื่อศาลพิจารณาและมีคำสั่งตั้งบุคคลนั้นเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว ผู้นั้นก็จะมีสิทธิหน้าที่จัดการมรดกให้กับทายาทโดยเท่าเทียม
ตามกฎหมายได้เหมือนผู้จัดการมรดกทั่วไป จัดการดูแลทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้ถูกแบ่งออกโดยยึดหลักสุจริตและรักษา
ผลประโยชน์ของกองมรดกนั้นเป็นที่ตั้งจนกว่าการแบ่งทรัพย์มรดกทั้งหมดเสร็จสิ้น